“AirTag” ภัยร้ายที่ต้องระวัง
“AirTag” ภัยร้ายที่ต้องระวัง
เมื่ออุปกรณ์อิเล็คทรอนิกสุดล้ำดันถูกนำไปใช้ผิดวิธีโดยถูกผู็ไม่ประสงค์ดี โดยนำไปใช้เป็นอุปกรณ์สะกดรอย
Airtag คืออุปกรณ์ที่เราใช้เพื่อติดตามหาสิ่งของหรือว่าคนที่เราเอา Airtag นี้เข้าไปติดเอาไว้ ง่ายๆก็เหมือนเครื่องติดตามตัวขนาดเล็กที่ทำงานผ่าน Bluetooth ฟังดูมันก็น่าจะเป็นอุปกรณืที่ดี แต่ล่าสุดได้มีผู้ใช้ Twitter คนหนึ่งออกมาทวีตเตือนว่าให้ระวังมิจฉาชีพและผู้ไม่หวังดีที่อาจนำเอาอุปกรณ์ช่วยอำนวยความสะดวกนี้มาใช้แบบผิดจุดประสงค์โดยนำเอา AirTag ไปติดไว้กับรถยนต์หรือแอบเอาใส่กระเป๋าของเหยื่อเพื่อสะกดรอยตามได้ ! กลายเป็น Technology สำหรับ Stalker แทน
โดย jeana jeana เจ้าของแอคเคาท์ @Sega_JEANAsis ได้ออกมาทวีตแบ่งปันประสบการณ์ว่าเธอถูกผู้ไม่หวังดีแอบเอา AirTag มาติดไว้ที่รถยนต์ในช่วงกลางดึกคืนหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาตี 2 ที่เธอกำลังขับรถบนถนนโล่ง ๆ แต่แล้วก็พบกับข้อความแจ้งเตือนบน iPhone ของเธอว่า “AirTag Found Moving With You” (พบอุปกรณ์ AirTag กำลังเคลื่อนที่ไปพร้อม ๆ กับคุณ) และมีคำอธิบายเพิ่มเติมว่า “The location of this AirTag can be seen by the owner” (ตำแหน่งของ AirTag จะสามารถตรวจสอบได้เฉพาะเจ้าของ AirTag เท่านั้น) โดยข้อความแจ้งเตือนดังกล่าวก็ปรากฎนานถึง 30 นาทีก่อนที่เธอจะตัดสินใจตามหา AirTag แปลกปลอมนั้นจนพบว่ามันติดอยู่กับกระบังล้อหน้าของรถยนต์และโยนทิ้งไป หลังจากนั้นเธอจึงได้ออกมาทวีตเตือนผู้ใช้คนอื่น ๆ ให้ระมัดระวังมิจฉาชีพที่อาจใช้งาน AirTag ผิดจุดประสงค์ในการใช้งาน
ซึ่งอุปกรณ์ AirTag ของ Apple นี้จะปรากฏข้อความแจ้งเตือนการตรวจจับสัญญาณของอุปกรณ์ AirTag แปลกปลอมบนแอปพลิเคชัน Find My ของผู้ใช้งาน iOS 14.5 ขึ้นไป ส่วนผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนในระบบ Android ก็สามารถรับการแจ้งเตือนเช่นกันได้หากมีการติดตั้งแอปพลิเคชัน Tracker Detect (แอปพลิเคชันตรวจจับอุปกรณ์ Tracker) ไว้บนเครื่อง
ที่น่าสนใจคือทาง Apple ได้ “ขายของ” โดยเน้น “ความปลอดภัยของผู้ใช้” เป็นหลัก ดังนั้นจึงมีคนตั้งข้อสังเกตว่าอุปกรณ์อย่าง AirTag ที่มีการปกปิดข้อมูลผู้ใช้งานนี้เอื้อประโยชน์ให้กับมิจฉาชีพไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเราไม่สามารถตามรอยและค้นหาเจ้าของ AirTag ปริศนาที่แอบเอามาหย่อนในกระเป๋าหรือติดไว้ที่รถของเราได้เนื่องจากมันมีการเข้ารหัสข้อมูลแบบ End-to-End จึงไม่สามารถนำเอาไปสืบหาตัวคนร้ายได้ แต่ในประเด็นนี้ทาง Apple ก็ออกมาระบุว่าถ้ามีหมายศาลออกมาก็สามารถตามสืบหา Serial Number เพื่อหาตัวเจ้าของ AirTag เครื่องนั้น ๆ ได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ AirTag ของ Apple เท่านั้นที่สามารถนำเอาไปใช้งานในการสะกดรอยตามเหยื่อได้ เพราะอุปกรณ์ Tracker ของค่ายอื่น ๆ เองก็ต้องระวังการนำเอาไปใช้งานแบบผิดจุดประสงค์ไม่แพ้กัน โชคยังดีที่ jeana jeana ใช้งาน iPhone ที่มีการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Find My จึงรู้ตัวว่ามี AirTag ติดอยู่ที่รถของเธอ เพราะหากเธอใช้งานสมาร์ทโฟน Android ที่ไม่ได้ติดตั้งแอปพลิเคชัน Tracker Detect หรือมิจฉาชีพนำเอาอุปกรณ์ Tracker เจ้าอื่น ๆ มาติดไว้กับรถยนต์ของเธอก็คงจะไม่ทราบว่าตอนนี้ถูกสะกดรอยตามอยู่ก็เป็นได้
โดยทาง Apple เองได้ออกมาแนะนำวิธีแก้ไข คือ หากมีข้อความขึ้นมาเตือนว่ากำลังมี AirTag ติดตามอยู่
สิ่งที่ควรทำเป็นอย่างแรกรีบหา AirTag นั้นให้เจอ ด้วยการกดในสมาร์ทโฟน ให้ AirTag นั้นส่งเสียงเตือน เมื่อหาเจอแล้วให้นำเอาแบตเตอรีของ AirTag ออก ด้วยการกดลงไปที่ AirTag แล้วหมุนทวนเข็มนาฬิกา เพียงเท่านี้เจ้าของ AirTag ไม่สามารถหาตำแหน่งได้เจอ (แต่ AirTag นั้นยังคงผูกติดกับบัญชีแอปเปิลของเจ้าของเดิมอยู่ ใส่แบตเตอรีกลับไปเมื่อไหร่ก็สามารถใช้งานได้เหมือนเดิม)
แต่สิ่งที่ยังคงเป็นจุดอ่อนของ AirTag คือการเว้นระยะห่างนานถึง 8 ชั่วโมงถึงจะมีการแจ้งเตือน ซึ่งหากคนร้ายมีวัตถุประสงค์เพียงแค่ต้องการรู้ที่อยู่เฉย ๆ กว่าที่เหยื่อจะรู้ตัวอาจจะสายไปเสียแล้ว ฉะนั้นทุกครั้งก่อนจะกลับบ้าน ควรต้องสำรวจสิ่งของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าสะพาย กระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกง รถยนต์ ก่อนที่จะกลับบ้าน เพื่อเช็คก่อนว่ามี AirTag ของใครติดมาด้วยหรือไม่ นั่นเอง
ทั้งหมด 5 ความคิดเห็น
ผ่านมาสองปี มิจฉาชีพ ปรับวิธี ใหม่ๆ ไปเยอะแล้ว ควรอัพเดทรึเปล่านะ?Korsin 27 พ.ค. 2567 11:33
ขอบคุณสำหรับข้อมูลjakkapan 30 ม.ค. 2567 15:00
ต้องระมัดระวังกันลุกมาน 1 ต.ค. 2565 21:30
ดูปลอดภัยดีค่ะEamon 29 ส.ค. 2565 13:29
ช่วยทำให้ระมัดระวังมากยิ่งขึ้นภัทรภร 30 ม.ค. 2565 21:49